วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ยาที่ลดประสิทธิภาพยาคุมกำเนิด






ตอนแรกเกิร์ลจะเขียนชื่อยาตามกลุ่มยา
แต่มานึกๆดูแล้ว ขอเขียนตามลำดับตัวอักษรแทนนะคะ

ยาอะไรลดประสิทธิภาพยาคุมกำเนิด


AmoxyCillin  
อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin) เป็นยา ใช้สำหรับโรคติดเชื้อที่ไวต่อยานี้ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ยา ปฏิชีวนะ ดังต่อไปนี้ โรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น โพรงจมูกอักเสบ ...

Ampicillin
แอมพิซิลลิน (Ampicillin) เป็นยาปฏิชีวนะที่มีชื่อทางการค้าหลายชื่อ เช่น Amilin, Ampat, Ampexin, Ampicillin Pharmacia, Ampicyn ออกฤทธิ์คล้ายกับ Benzypeni-Benzypenicillin ยานี้สามารถทำลายแบคทีเรียได้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะแบคทีเรียแกรมบวก แกรมลบ เช่นเชื้อทำให้เกิดโรคท้องเสีย หลอดลมอักเสบ ไซนัสอักเสบ ปอดบวม ทางเดินปัสสาวะอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ถุงและท่อน้ำดีอักเสบ แผลมีหนอง ฝี


CarbamaZepine
ชื่อสามัญ Carbamazepine ชื่อการค้า Carbamazepine tablets, usp 200 mg รูปแบบยา ยาเม็ด ยานี้ใช้สำหรับ;ยานี้ใช้เพื่อควบคุมหรือรักษาการชักในผู้ป่วยโรคลมชัก (epilepsy) ...

Clofibrate
Ethosuximide
Lora/Oxa/TermaZepam
MetroniDazole
PhenoBarbital
Phenytoin
Primidone
Rifampin
Salicylate
TetraCycline
Traglitazone



อ๋าว..ละลานตาเชียว อะไรยังไงกันเนี่ย
ไม่ต้องต๊กกะใจไปค่ะ เกิร์ลจะสรุปง่ายๆให้ว่า



ยาส่วนใหญ่เป็นยาที่"มัก"ได้รับผ่านโรงพยาบาล เกิร์ลขอข้ามไปก่อนนะคะ

(ถ้าคุณผู้ชมไปร้านยาร้านไหนแล้วได้ยาอย่าง Clofibrate เอย, สารพัด ...Zepam เอย, PhenoBarbital เอย เป็นต้น
กระซิบเกิร์ลหน่อยนะคะ )



ถ้าคุณผู้ชมต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ(หรือที่คุณผู้ชมบางคนเรียก"ผิด"ว่ายาแก้อักเสบ)ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นมาก
คุณผู้ชมจะต้องบอกเภสัชกรว่า กำลังใช้ยาคุมกำเนิดอยู่ เภสัชกรจะแนะนำให้ได้ค่ะว่าควรทำอย่างไร
ทำไมเกิร์ลไม่บอกมาเลยล่ะ..?
การรักษาเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ค่ะ ไม่มีเส้นทางเส้นทางเดียว มันต้องปรับไปตามผู้ใช้ยาแต่ละคนแต่ละครั้งไป



แล้วเกิร์ลนำมาบอกทำไม..?
คุณผู้ชมคงทราบอยู่แล้วนะคะว่าไม่มีวิธีไหนคุมกำเนิดได้ 100%
หลายเปอร์เซ็นต์มาจากวิธีคุมกำเนิดเองที่ไม่ได้ป้องกันได้ชัวร์ๆไม่ท้องแน่ๆ
หลายเปอร์เซ็นต์ก็มาจากการใช้ชีวิตของผู้คุมกำเนิดร่วมด้วย
เกิร์ลจึงนำข้อมูลมาบอกกล่าวกันว่า ถ้าคุณผู้ชมกังวลเรื่องตั้งครรภ์ม๊ากกก..มีิวิธีไหนบ้างที่ช่วยเพิ่มเปอร์เซ็นต์ไม่ท้องได้บ้าง




แล้วมียาอะไรบ้างไหม ที่ใช้ร่วมกับยาคุมกำเนิดแล้วยานั้นได้รับผลกระทบ..
มีเหมือนกันค่ะ กรณีนี้ยาคุมกำเนิดจะไปมีอันตรกิริยาทำให้ยานั้นมีระดับยาในเลือดสูงขึ้น
ยาเหล่านั้นที่เป็นกลุ่มที่คุณผู้ชมอาจเจอได้บ่อยเช่น
Caffeine(กินร่วมกับยาคุมกำเนิดแล้ว Caffeineในเลือดสูงกว่าไม่กินยาคุมกำเนิด)
สเตียรอยด์(ยากลุ่มนี้หวังว่าคงไม่มีใครจ่ายให้กินเล่นๆกันนะคะ)
ยาคลายเครียด Amitriptylene, Nortriptylene
ยาป้องกันไมเกรน Propanolol

ไม่ต้องลองก็รู้ได้ ยาคุมกำเนิดสูตรไหนเหมาะกับเรา




ตำเตือน

ข้อมูลในบล๊อกนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น


ทุกคนคงทราบอยู่แล้วว่ายาคุมกำเนิดมีหลากหลายยี่ห้อ
บางยี่ห้อเป็นสูตรเดียวกัน บางยี่ห้อต่างกัน แต่นับรวมๆกันแล้วมีหลายสูตร
(ซึ่งในความเป็นจริงมีหลายสูตรมากกว่าที่คุณผู้ชมรู้จักกันเสียอีก)

บล๊อกนี้เกิร์ลจะให้ข้อมูลเบื้องต้นที่เป็นประโยชน์กว่าการขอรีวิวเพื่อนฝูงว่า "เธอใช้สูตรไหนแล้วดีฉันขอใช้ตาม"

ด้วยการแนะนำให้ผู้ที่จะใช้ยาคุมกำเนิดสังเกตตัวเองว่า.. คุณมีความเป็นผู้หญิง(ทางฮอร์โมน)มากแค่ไหน

ถ้า... คุณมีประจำเดือนมาแยอะ, มาก่อนเวลา(น้อยกว่า26วัน), มีขนตามร่างกายแขนขาน้อย, อวบ
......... คุณเป็นผู้หญิงมาก
ถ้า... คุณมีประจำเดือนน้อย, มาเลทไปเรื่อยๆ(รอบเดือนมากกว่า 28วัน), มีขนตามแขนขามาก
....คุณเป็นผู้หญิงน้อย
ถ้า.. คุณมีประจำเดือนพอดี(มีปจด.ประมาณ 3-5วัน ปริมาณปจด.ไม่มากไม่น้อย), รูปร่างพอดี
.... คุณมีความเป็นผู้หญิงปานกลาง

สูตรไหนบ้างที่จัดเป็นประเภท...เอสโตรเจนสูง...สำหรับผู้ทานที่มีความเป็นผู้หญิงน้อยค่อยไปทางผู้ชายมาก(เช่นเกิร์ล)
คำตอบ..คือสูตรที่มี Estrogen 35mcg (ซึ่งเป็นขนาดที่มากที่สุด*ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ

*เกิร์ลขอให้ข้อมูลไว้ว่า ยาคุมกำเนิดที่มีเอสโตรเจนมากกว่าสามสิบห้าไมโครกรัมก็มีเช่น 50, 75, 100mcg
แต่จะใช้สำหรับผู้ที่มีปัญหาทางนรีเวชโดยสูตินารีแพทย์ ไม่นำมาใช้ในจุดประสงค์คุมกำเนิด

*ส่วนยาคุมกำเนิดที่มีเอสเตรเจนไม่เกิน 50mcg แต่สูงกว่า 35mcg และได้ยินชื่อบ่อยๆ
เช่น อนามัย, Oilezz
ส่วนที่ไม่ค่อยคุ้นชื่อแต่มีเอสเตรเจนสูงคือ Tiquilar, Trinordiol
ยี่ห้อ Triquilar และ Trinordiol มี Estrogen 30, 40, 10mcg

ส่วนยี่ห้อ Oilezz มี Estrogen 40mcg ในเม็ดที่ 1-7ของแผง, และ 30mcg ในเม็ดที่ 8-22ของแผง
สูตรที่มีฮอร์โมนไม่เหมือนกันทุกเม็ดนั้น "จำเป็นต้องกินตามลูกศรเท่านั้น" ห้ามกินสลับกันเด็ดขาด)


ย้อนกลับไปว่ายาคุมกำเนิดที่มีเอสโตรเจน จะไม่มีเป็นรูปแบบเอสโตรเจนเดี่ยวๆ
คือในหนึ่งเม็ดจะมีทั้ง Estrogen และ Progestogen** หรือโปรเจสโตเจนเดี่ยวๆ***
ยาคุมกำเนิดที่เราได้ยินชื่อกันบ่อยๆที่มี Estogen 35mcg และ Progestogen เป็น Cyproterone acetate 2000mcg
เช่น ยี่ห้อ.. Diane-35, Preme, Sucee (ในท้องตลาดมีมากกว่า 3 ยี่ห้อ)(เรียงตามตัวอักษร)
บางสูตรที่เป็น Estogen 35mcg ใช้ Progesterone เป็น Norgestimate 250mcg เช่นยี่ห้อ Cilest


ปริมาณ Estrogen รองจาก 35mcg คือ 30mcg
ตัวอย่างเช่น Yasmin (Progestogen ของ Yasmin คือ Drospirenone)
ปริมาณ Estrogen ที่ต่ำ(แทบจะต่ำที่สุดที่คุ้นเคยชื่อกัน) คือ 20mcg
-เนื่องจากปริมาณเอสโตรเจนต่ำมาก ควรเริ่มเม็ดแรกตั้งแต่วันแรกที่มีประจำเดือน-
ตัวอย่างเช่น Meliane, Mercilon (ในตลาดมีมากกว่า 2ยี่ห้อ)(เรียงตามตัวอักษร)
โดยที่สองยี่ห้อที่ยกตัวอย่างที่มี เอสโตรเจนยี่สิบไมโครกรัม ใช้โปรเจนเตอโรนต่างกัน
คือ Meliane ใช้ Gestodene 75mcg ส่วน Mercilone ใช้ Desogestrel 150mcg

ปิดท้ายจริงๆ..
ถ้าพิจารณาธรรมชาติของร่างกายแล้วเลือกใช้ตัวใดตัวหนึ่งไประยะหนึ่ง
แล้วพบว่าสูตรนั้นยังไม่เหมาะกับร่างกาย ก็ต้องปรับใหม่ตามสูตรยาเป็นหลัก 
ขอให้ปรึกษาเภสัชกร อย่าปรับเองโดยเลือกยี่ห้อ(แต่เป็นสูตรเดียวกัน)เพราะจะเป็นการเปลี่ยนแบบไม่เปลี่ยน
(**Progestogen นะคะ ไม่ใช่ Progesterone สองชื่อนี้ไม่เหมือนกัน)
***โปรเจสโตรเจนเดี่ยวๆ มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดน้อยกว่าสูตรผสม แต่เหมาะกับผู้ที่มีข้อห้ามใช้เอสโตรเจน






การอ่านยาคุม


รวบรวมยี่ห้อยาคุมกำเนิดสูตรผสมที่มีเอสโตรเจนไม่มากกว่า50มคก.ทั้งหมดในไทย

มีเวอร์ชั่นรูปภาพซึ่งเข้าใจง่ายกว่าด้านล่างค่ะ

รวบรวมสูตรยาคุมกำเนิดยี่ห้อต่างๆในประเทศไทย
จาก MIMs Thailand by เภสัชเกิร์ล

การดูข้อมูลในตาราง
ช่องเดียวกัน = สูตรยาเหมือนกัน
ฝั่งซ้าย คือ ปริมาณเอสโตรเจน (หน่วยไมโครกรัม)                  | ช่องขวา = ประเภทโปรเจสโตรเจน
ซ้าย : ปริมาณเอสโตรเจน(ไมโครกรัม)
ผู้หญิงแต่ละคนมีปริมาณเอสโตรเจนที่เหมาะสมต่างกัน*
(*ยึดปริมาณเอสโตรเจนที่เหมาะกับร่างกายตนเองเป็นหลัก,
ประเด็นรองเช่น บวมน้ำจากยาน้อย หรือบรรเทาสิวฮอร์โมน 
ดูจากโปรเจสโตรเจน)
ขวา : ชนิดโปรเจสโตเจนที่ต่างกัน
สีอ่อน : โปรเจสโตรเจนกลุ่มแรก 
(s/eบวมน้ำจากยาได้สูง)
สีเขียว : โปรเจสโตเจนกลุ่มสอง
(s/e)บวมน้ำจากยาน้อยลง
สีม่วง : โปรเจสโตเจนกลุ่มสาม
(s/e)บวมน้ำจากยาน้อยที่สุด

ถ้าเอสโตรเจนน้อยไป เลือดออกกระปริกะปรอย,ประสิทธิภาพคุมกำเนิดไม่เต็มที่
ถ้าเอสโตรเจนมากไป ปวดหัว, คลื่นไส้, อาเจียน, คัดตึงหน้าอก, เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านม 
(ควรเลือกใช้สูตรเอสโตรเจนที่น้อยที่สุดที่ตัวเองใช้แล้วไม่มีอาการแสดงว่าเอสโตรเจนที่ได้รับยังน้อยเกินไป)
ผู้ที่มีข้อห้ามใช้เอสโตรเจน : 
ควรใช้ยาคุมกำเนิดสูตรที่ไม่มีเอสโตรเจน(มีเฉพาะโปรเจสโตเจน)
เช่น มีปัญหาด้านหลอดเลือด ลิ่มเลือดอุดตัน ไมเกรน* เสี่ยงมะเร็งเต้านม เป็นต้น หรือ ให้นมบุตร
(*อาการปวดหัวไม่ใช่ทุกชนิดที่เป็นไมเกรน 
ปวดหัวแบบไมเกรนกับไม่ใช่ไมเกรน : สาเหตุต่างกัน, รักษาต่างกัน, โอกาสหายต่างกัน, มีข้อห้ามต่างกัน)


การใช้ตารางนี้สำหรับประชาชนทั่วไป
.อาจใช้เพื่อพิจารณาความคุ้มค่าทางราคาของยาคุมกำเนิดสูตรเดียวกัน แต่ราคาต่างกัน 
          หรือกรณีไม่สามารถหาซื้อยี่ห้อประจำได้
 ก็สามารถเปรียบเทียบว่าพอจะใช้ยี่ห้อใดที่สูตยาเดียวกันทดแทนไปก่อนได้หรือไม่
.อาจเพื่อใช้เป็นข้อมูลพิจารณาตนเองคร่าวๆก่อนการพิจารณาเลือกสูตรยาแผงแรกกับผู้ประกอบวิชาชีพ
(ตามที่เกิร์ลเคยแนะนำในบล๊อก http://pharmacistary.blogspot.com/2013/05/oral-contraception.html )   
ซึ่งขอยกมาคร่าวๆว่า
ถ้า... มีประจำเดือนมาแยอะ, มาก่อนเวลา(น้อยกว่า26วัน), มีขนตามร่างกายแขนขาน้อย, อวบ
......... อาจเริ่มที่สูตรเอสโตรเจนต่ำ 
ถ้า... มีประจำเดือนน้อย, มาเลทไปเรื่อยๆ(รอบเดือนมากกว่า 28วัน), มีขนตามแขนขามาก
....อาจเริ่มที่สูตรเอสโตรเจนสูง
ถ้า.. มีประจำเดือนพอดี(มีปจด.ประมาณ 3-5วัน ปริมาณปจด.ไม่มากไม่น้อย), รูปร่างพอดี
.... อาจเริ่มที่สูตรเอสโตรเจนปานกลาง

*แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องพิจารณาความเหมาะสมในด้านอื่นเพิ่มเติม 
เช่น มีข้อบ่งชี้ว่าควรเลี่ยงการได้รับเอสโตรเจนหรือไม่ เป็นต้น

**การใช้ยาคุมช่วงแรก(แผงที่1-3) อาจยังมีอาการต่างๆอันเนื่องมาจากการที่ร่างกายเริ่มปรับฮอร์โมน 
       และ/หรือสูตรยาที่ใช้ยังไม่เหมาะสมกับร่างกาย 
หากมีอาการใดๆในช่วงแรกขอให้ผู้ใช้สังเกตตัวเองแล้วปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมต่อไป 
ยกเว้นกรณีที่มีอาการปวดมากๆเกิดขึ้น เช่นที่ท้อง ศีรษะ กล้ามเนื้อ เป็นต้น จะต้องรีบพบแพทย์โดยเร็วไม่ควรรีรอ

***อีกสิ่งที่สำคัญของการเริ่มใช้ยาคุมกำเนิดแผงแรก
และการกลับมาใช้อีกครั้งหลังหยุดทานยาคุมกำเนิดไป(ที่ไม่ใช่การหยุด7วันตามปกติ)
คือการคุมกำเนิดด้วยถุงยางอนามัยร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด 7 วัน



ข้อมูลต่อไปนี้ กล่าวถึงปริมาณ estrogen เท่านั้น
สำหรับโปรเจนโตรเจน เลื่อนดูที่รูปนะคะ

estrogen 15mcg :  
มินิดอซ

estrogen 20mcg : 
แอนนี่ลินน์,Ciclomex-20,Lindynette20,มีลิแอน
เมอซิลอน,มินนี่,Novynette, ยาส


เอสโตรเจน 30 mcg
แอนนา,ไมโครไกนอน30,Microlenyn30,Nordette,Oralcon-F,
อาร์เดน, ไกเนร่า,Lindynette30, Belara, ไดซี่, มาว์วีลอน,
Dior, Rigevidon, เมโลเดีย,ยาสมิน


เอสโตรเจนขนาด 35 mcg : 
แอนนี่, บี เลดี้, Cypress, Dafne-35, ไดแอน-35,
ซูซี่, Tricilest  Norgestimate*
*แต่ละแถวปริมาณต่างกัน
แถว1 7เม็ด 0.18mg/
แถว2 7เม็ด 0.215mg/
แถว3 7เม็ด 0.25mg/
แถว4 7เม็ด แป้ง 6

เอสโตรเจนผสม 30/40 mcg : 
ปริมาณฮอร์โมนต่างกัน
ต้องทานตามลูกศรอย่างเคร่งครัดมากเป็นพิเศษ
ออยเลซ 
30mcg 7เม็ดแรก
49mcg 15เม็ดหลัง
หมดแผงแล้วเว้น6วัน
แล้วเริ่มกินแผงใหม่


เอสโตรเจนผสม 30/40/30 mcg : 
ปริมาณฮอร์โมนต่างกัน3-4แบบ ต้องทานตามลูกศรอย่างเคร่งครัดมากเป็นพิเศษ
Trigestrel 6+5+10,
TriquilarED 6+5+10+7แป้ง
*แต่ละเม็ดปริมาณต่างกัน




เอสโตรเจนขนาดสูง 50mcg: 
อนามัย 
หมายเหตุ
28เม็ด=21+7แป้ง=กินหมดแผงแล้วเริ่มแผงใหม่ได้เลย
ED=28เม็ด
มินิดอซ,ยาส=24+4แป้ง=หมดแผงแล้วเริ่มแผงใหม่ได้เลย
ออยเลซ,Tri-=มีเม็ดฮอร์โมนมากกว่า1แบบ "ห้ามสลับเม็ดเด็ดขาด"
21เม็ด=เม็ดฮอร์โมนเหมือนกันทุกเม็ด=กินหมดแผงแล้วหยุด7วันก่อนเริ่มแผงใหม่
ออยเลซ22เม็ด=กินหมดแผงแล้วหยุด6วันก่อนเริ่มแผงใหม่
มินิดอซ=เอสโตรเจนต่ำสุด(0.015mg)
อนามัย,JenyFMP=เอสโตรเจนสูงสุด(0.05mg)*
*เทียบกับสูตรที่ได้รวบรวมมานี้เท่านั้น







AHA จากผลไม้ ใน พอกผิวขาว Superstar set


เรื่องของกรดผลไม้ (fruit acid) ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้หญิงยุคหลายพันปีก่อนรู้จักกรดผลไม้ กันแล้วครับ 
ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดคือ พระนางคลีโอพัตราแห่งอียิปต์ ได้ใช้น้ำนมเปรี้ยว สำหรับสระสรงชำระล้างร่างกาย 
และใช้เหล้าองุ่นแดงล้างหน้า ______อีกหลายร้อยปีต่อมา ดัชเชสแห่งแอลบ้าของสเปนได้ใช้กลีบส้มประคบทะนุถนอมใบหน้า ___________จนมาถึง คริสตศตวรรษที่ 19 พระนางอลิซาเบธแห่งฮังการี ได้สรงพระพักตร์ด้วยเหล้าไวน์ 
ที่เจือปนสมุนไพรต่างๆ และสรงน้ำชำระพระองค์โดยใช้น้ำแร่ที่เจือปนไปด้วยมะนาว กุหลาบ และใบเป็บเปอร์มินท์ ต่างๆ เหล่านี้ที่สตรียุคโบราณใช้กันล้วนมีส่วนผสม ของกรดผลไม้ทั้งนั้นครับ

 

กรดผลไม้หรือ AHA ซึ่งย่อมาจาก Alpha Hydroxy Acid เป็นกรดที่ได้มาจากหลายอย่าง มีฤทธิ์ทำให้ผิวลอกเล็กน้อย กรดเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากผลไม้ จึงเรียกง่ายๆ กันว่า กรดผลไม้หรือ fruit acid นอกจากนั้นก็ยังพบ AHA ในขิง อ้อย นม น้ำมะเขือเทศ และเหล้าไวน์ และยังสามารถผลิต AHA ในห้องปฏิบัติการด้วย

กรดผลไม้ที่รู้จักกันดีที่สุดคือ กรดไกลคอลิก (Glycolic acid) ซึ่งเตรียมได้จาก น้ำอ้อยและองุ่นดิบ 
ที่รู้จักรองลงมาคือกรดแล็คติก (lactic acid) ซึ่งมาจากน้ำมะเขือเทศ และนมเปรี้ยว นอกจากนั้นก็ยังมีกรดผลไม้ที่เตรียมจากแอปเปิลคือกรดมาลิก (Malic acid) 
เตรียมจากองุ่นและไวน์คือ กรดตาร์ตาริก (Tartaric acid) 
และเตรียมจากส้มและสับปะรดคือ กรดซิตริก (Citric acid)
กรดผลไม้ที่รู้จักกันดีที่สุดและมีงานวิจัยต่อเนื่องกันมานานนับ 20 ปี คือ กรดไกลคอลิก และกรดแล็คติก จึงแนะนำให้ใช้กรดพวกนี้เพราะรู้จักกันมานานแล้ว
 

ทำไมกรดผลไม้จึงช่วยให้ผิวสวย
กรดผลไม้ออกฤทธิ์โดยการซึมผ่านผิวหนังชั้นขี้ไคลลงไป และทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนี้ หลุดลอกจากกัน ทำให้ผิวสดใสและผิวหนังด้านล่างจะงอกขึ้นมาใหม่ได้ บางครั้งเมื่อทากรดผลไม้ อาจเกิดอาการแสบคันหรือผิวแดงซึ่งจะหายไปใน 20 นาที แต่ถ้าอาการเหล่านี้ไม่หาย ก็ให้หยุดการใช้เครื่องสำอางประเภทนี้จนผิวหายเป็นปกติ แล้วถ้าอยากลองใช้เครื่องสำอาง กลุ่มนี้ใหม่ก็ให้ใช้ชนิดที่มีความเข้มข้นของกรดผลไม้ต่ำกว่าเดิม


งานวิจัยของมหาวิทยาลัยโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา โดยแพทย์ผิวหนังใช้กรด AHA ความเข้มข้นร้อยละ 12 ทาผิวหนังบนใบหน้าซีกเดียวของอาสาสมัคร 21 ราย โดยทายา วันละ 2 ครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป 8 สัปดาห์ นักวิจัยสรุปว่าผิวหนังด้านที่ทายา AHA ในอาสาสมัคร 18 ราย นุ่มและเนียนขึ้นเล็กน้อย และผิวหนังด้านที่ทายาในอาสาสมัคร 15 ราย มีริ้วรอยเหี่ยวย่นจางลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับด้านที่ไม่ได้ทายา และพบว่า อาสาสมัคร 17 ใน 21 รายนี้ขอใช้กรดผลไม้ต่อไปเมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้ว นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยแสดงว่ากรดผลไม้ช่วยให้ฝ้าและกระ ตลอดจนรอยด่างดำ ของใบหน้าจางลงได้บ้างและยังช่วยรักษาสิวได้
 

ส่วน BHA หรือ beta hydroxy acid ตัวที่สำคัญที่สุดคือ กรดซาลิซิลิก (salicylic acid) ซึ่งได้จากเปลือกต้นไม้ เชื่อว่า BHA ก็ช่วยให้ผิวใสขึ้นได้บ้าง และยังอาจรักษาสิวได้ สำหรับกรดซาลิซิลิกนี้ ถ้าใช้ในความเข้มข้นสูงนำมาใช้รักษาหูดและตาปลา
 
 
การใช้กรดผลไม้และทำให้ผิวหน้าลอกบ่อยๆ นี้ ในทางตรงข้ามอาจก่ออันตรายต่อผิวหนัง เพราะเซลล์ชั้นนอกสุดหลุดลอกออกไป ทำให้ผิวได้รับผลเสียจากรังสียูวีในแสงแดด ผู้ที่ใช้กรดผลไม้จึงต้องทายากันแดดและหลบเลี่ยงการโดนแสงแดดจัด
วิธีเลือกเครื่องสำอางผสมกรดผลไม้
 
เมื่อเลือกซื้อเครื่องสำอางประเภท AHA และ BHA ผู้บริโภคต้องทราบ 2 เรื่องนี้ เรื่องแรกคือ ความเข้มข้นของตัวกรดและเรื่องที่ 2 คือ ค่ากรดด่าง (pH) ของผลิตภัณฑ์นั้น
 
เครื่องสำอาง AHA ส่วนใหญ่มีความเข้มข้นของกรด AHAตั้งแต่ร้อยละ 1-15 ความเข้มข้นของ AHA ที่ต่ำที่สุดที่ทำให้ผิวลอกได้ คือร้อยละ 4 ถ้าความเข้มข้นสูงถึงร้อยละ 8-15 ผิวจะลอกมาก และอาจทำให้ผิวระคายเคือง สำหรับค่าความเป็นกรดด่างนี้ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีค่าความเป็นกรดด่างระหว่าง 3-5 ถ้าค่าต่ำกว่านี้ผลิตภัณฑ์จะมีฤทธิ์เป็นกรดมากและทำให้ระคายเคืองสูง ถ้าค่า pH สูง ผลิตภัณฑ์จะมีฤทธิ์เป็นด่าง ทำให้ผิวไม่ลอก คือใช้แล้วก็ไม่ได้ผลนั่นเอง ก่อนซื้อควรดูฉลาก เพื่อตรวจสอบส่วนผสม ถ้าพบว่าชื่อของ AHA เป็นส่วนผสมที่อยู่ท้ายๆ ของรายชื่อสารเคมีทั้งหมด
 
อาจแสดงว่าผลิตภัณฑ์ยี่ห้อนั้นมีส่วนผสมของ AHA น้อยเกินไปจนไม่ออกฤทธิ์ ในทางตรงข้าม ถ้าชื่อของ AHA ปรากฏเป็นอันดับแรกของรายชื่อ ก็แสดงว่าอาจมี AHA สูงเกินไป จึงควรปลอดภัยไว้ก่อนด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อ AHA เป็นลำดับรองหรือกลางบัญชีรายชื่อ ถ้าผลิตภัณฑ์ใดมีส่วนผสมของทั้ง AHA และ BHA ก็ต้องแน่ใจว่าทั้ง 2 นี้ไม่ได้มีความเข้มข้นมาก ด้วยกันทั้งคู่ เพราะจะยิ่งเสริมฤทธิ์ทำให้ผิวระคายเคืองมาก เนื่องจากกรดผลไม้ทำให้ผิวลอก และระคายเคืองได้ง่าย จึงต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่มากเพราะจะยิ่งทำให้ ผิวระคายเคือง ควรเลือกซื้อกระปุกที่เล็กที่สุดมาลองใช้ดูก่อน ถ้าเป็นไปได้ลองเตรียม กระปุกสะอาดไปเองและขอแบ่งผลิตภัณฑ์มาลองใช้ดูก่อน ขั้นแรกอาจลองทาดู ที่ท้องแขนสัก 1 สัปดาห์ ถ้าผิวไม่แดงไม่ลอกจึงค่อยลองใช้กับใบหน้า
 
เมื่อเริ่มใช้เครื่องสำอางกลุ่มนี้ ต้องจำไว้ว่าผิวจะลอกและระคายเคืองง่ายอยู่แล้ว จึงต้องงดเว้นการใช้สบู่ที่ผสมเม็ดขัดถูใบหน้า งดการใช้ผ้าขนหนู ฟองน้ำ ใยบวบ หรือสิ่งใดๆ ก็ตามมาขัดถูใบหน้า
 
เครื่องสำอางกรดผลไม้มีหลายรูปแบบได้แก่ ครีม เจล และโลชั่น ถ้ามีผิวแห้ง แนะนำให้ใช้ในรูปของครีม แต่ถ้าผิวมันอาจลองใช้เจรหรือโลชั่น ในคนผิวปกติทั่วไป แนะนำให้ใช้ AHA เริ่มต้นที่ความเข้มข้นร้อยละ 7-8 ทาต่อเนื่องกัน 4-6 สัปดาห์ แล้วจึงอาจใช้ความเข้มข้นสูงกว่านี้
 

ข้อควรปฏิบัติในการใช้เครื่องสำอางกรดผลไม้ (AHA) 
1.ทำความสะอาดผิวหน้างให้หมดจดก่อนทาเครื่องสำอาง ล้างคลีนเซอร์ให้เกลี้ยงเกลา เพราะถ้ายังมีตกค้างจะต้านฤทธิ์ของกรดผลไม้
2.หลังล้างหน้ารอให้หน้าแห้งก่อน 15 นาที แล้วจึงทาเครื่องสำอางนี้ เพราะถ้าผิวเปียกชื้นแล้วทาเครื่องสำอางกรดผลไม้ ผิวจะระคายเคืองได้ง่าย
3.ค่อยๆ ป้ายเนื้อครีมทีละขนาดเท่าเม็ดถั่ว เกลี่ยเบาๆ ไม่ต้องนวด ไม่ต้องดึง ไม่ต้องดันผิวหนัง ครีมจะซึมและแห้งไปเอง
4.ทาเครื่องสำอางนี้เริ่มต้นวันละ 1 ครั้งก่อนนอน ถ้าผิวแห้งหรือลอกมาก อาจลดมาเป็นทาวันเว้นวัน ถ้ายังลอกอยู่อาจต้องใช้ชนิดที่มีความเข้มข้นต่ำกว่านี้
5.ถ้าทาเครื่องสำอางครบ 4-6 สัปดาห์แล้ว ผิวยังไม่และดูดีขึ้น และไม่มีปัญหาผิวแห้งและระคายเคือง อาจเพิ่มการทาครีมเป็นวันละ 2 ครั้ง หรือใช้ชนิดที่มีความเข้มข้นสูงกว่านี้
6.ต้องใช้ยากันแดดร่วมไปด้วย โดยเป็นยากันแดดที่มี SPF อย่างต่ำ 15
7.ปัจจุบันมีเครื่องสำอางกรดผลไม้ผลิตแยกเป็นส่วนๆ ของร่างกาย เช่นใช้ทารอบตา รอบคอ ลำคอ ต้นขา เท้า และเล็บโดยเฉพาะ ซึ่งไม่จำเป็นและสิ้นเปลือง เท่าที่จำเป็นคือใช้ชนิดที่มี AHA ความเข้มข้นสูงทาตัว และความเข้มข้นต่ำทาหน้า ไม่ใช้เครื่องสำอางกรดผลไม้ทาเปลือกตาหรือทาริมฝีปากโดยเด็ดขาด
8.เมื่อได้ผลิตภัณฑ์กรดผลไม้ที่ถูกใจแล้ว ให้ทาวันละ 1-2 ครั้ง ต่อเนื่องกันไป 6 เดือนถึง 1 ปี หรือจนกระทั่งไม่สามารถสังเกตเห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นไปได้อีก ก็อาจลดการทาครีมลงได้ครึ่งหนึ่ง
 
การลอกหน้าด้วยกรดผลไม้ หรือ AHA (alpha hydroxy acid) นั้นจะช่วยให้ เซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุดคือ ชั้นขี้ไคลซึ่งเป็นผิวหนังชั้นที่ตายแล้ว หลุดลอกออกไป ทำให้ผิวดูสดใสและเรียบเนียนขึ้นได้บ้าง เพื่อความปลอดภัยควรให้แพทย์ผิวหนัง เป็นผู้ลอกหน้าให้ โดยมากนิยมใช้ AHA ความเข้มข้นร้อยละ 20-70 ก่อนลอกหน้าต้องล้าง และเช็ดเครื่องสำอางออกให้หมดก่อน ต้องใช้ผ้ากอซปิดตาหรือหลับตาให้สนิท เพราะถ้าน้ำยาเข้าตา ตาจะอักเสบระคายเคืองอย่างรุนแรง หลังทาน้ำยาจะมีอาการคันเล็กน้อย ทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด หลังลอกหน้าด้วยวิธีนี้ ผิวอาจจะบวมแดงเล็กน้อย และลอกเป็นขุยในอีก 2-3 วันต่อมา ทั่วไปนิยมลอกหน้าด้วย AHA ต่อเนื่องกัน 6 ครั้ง โดยเว้นระยะครั้งละ 2-3 สัปดาห์ แต่จะใช้น้ำยาความเข้มข้นสูงหรือต่ำขนาดใด และลอกบ่อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วยนะครับ
 
เนื่องจากการลอกหน้าด้วย AHA ทำให้ผิวหนังบางลง จึงทำให้ผิวได้รับอันตรายจากรังสียูวี ในแสงแดดได้ง่ายขึ้น ซึ่งผลเสียนี้ทำให้ผิวหนังเหี่ยวแก่เร็วและเกิดมะเร็งผิวหนังได้ง่าย จึงไม่แนะนำให้ผู้ที่มีผิวขาวอยู่แล้วลอกหน้าด้วย AHA และผู้ที่ลอกหน้าด้วย AHA จะต้องหลบเลี่ยงการโดนแดดจัด ต้องทายากันแดดที่มีค่า SPF อย่างต่ำ 15 ร่วมด้วยเสมอนะครับ
 
(update 5 ตุลาคม 2001) 
[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 25 ฉบับที่ 7 กรกฎาคม 2544 ]งานวิจัยของมหาวิทยาลัยโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา โดยแพทย์ผิวหนังใช้กรด AHA ความเข้มข้นร้อยละ 12 ทาผิวหนังบนใบหน้าซีกเดียวของอาสาสมัคร 21 ราย โดยทายา วันละ 2 ครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป 8 สัปดาห์ นักวิจัยสรุปว่าผิวหนังด้านที่ทายา AHA ในอาสาสมัคร 18 ราย นุ่มและเนียนขึ้นเล็กน้อย และผิวหนังด้านที่ทายาในอาสาสมัคร 15 ราย มีริ้วรอยเหี่ยวย่นจางลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับด้านที่ไม่ได้ทายา และพบว่า อาสาสมัคร 17 ใน 21 รายนี้ขอใช้กรดผลไม้ต่อไปเมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้ว นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยแสดงว่ากรดผลไม้ช่วยให้ฝ้าและกระ ตลอดจนรอยด่างดำ ของใบหน้าจางลงได้บ้างและยังช่วยรักษาสิวได้
 
ส่วน BHA หรือ beta hydroxy acid ตัวที่สำคัญที่สุดคือ กรดซาลิซิลิก (salicylic acid) ซึ่งได้จากเปลือกต้นไม้ เชื่อว่า BHA ก็ช่วยให้ผิวใสขึ้นได้บ้าง และยังอาจรักษาสิวได้ สำหรับกรดซาลิซิลิกนี้ ถ้าใช้ในความเข้มข้นสูงนำมาใช้รักษาหูดและตาปลา
 
 
การใช้กรดผลไม้และทำให้ผิวหน้าลอกบ่อยๆ นี้ ในทางตรงข้ามอาจก่ออันตรายต่อผิวหนัง เพราะเซลล์ชั้นนอกสุดหลุดลอกออกไป ทำให้ผิวได้รับผลเสียจากรังสียูวีในแสงแดด ผู้ที่ใช้กรดผลไม้จึงต้องทายากันแดดและหลบเลี่ยงการโดนแสงแดดจัด
วิธีเลือกเครื่องสำอางผสมกรดผลไม้
 
เมื่อเลือกซื้อเครื่องสำอางประเภท AHA และ BHA ผู้บริโภคต้องทราบ 2 เรื่องนี้ เรื่องแรกคือ ความเข้มข้นของตัวกรดและเรื่องที่ 2 คือ ค่ากรดด่าง (pH) ของผลิตภัณฑ์นั้น
 
เครื่องสำอาง AHA ส่วนใหญ่มีความเข้มข้นของกรด AHAตั้งแต่ร้อยละ 1-15 ความเข้มข้นของ AHA ที่ต่ำที่สุดที่ทำให้ผิวลอกได้ คือร้อยละ 4 ถ้าความเข้มข้นสูงถึงร้อยละ 8-15 ผิวจะลอกมาก และอาจทำให้ผิวระคายเคือง สำหรับค่าความเป็นกรดด่างนี้ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีค่าความเป็นกรดด่างระหว่าง 3-5 ถ้าค่าต่ำกว่านี้ผลิตภัณฑ์จะมีฤทธิ์เป็นกรดมากและทำให้ระคายเคืองสูง ถ้าค่า pH สูง ผลิตภัณฑ์จะมีฤทธิ์เป็นด่าง ทำให้ผิวไม่ลอก คือใช้แล้วก็ไม่ได้ผลนั่นเอง ก่อนซื้อควรดูฉลาก เพื่อตรวจสอบส่วนผสม ถ้าพบว่าชื่อของ AHA เป็นส่วนผสมที่อยู่ท้ายๆ ของรายชื่อสารเคมีทั้งหมด
 
อาจแสดงว่าผลิตภัณฑ์ยี่ห้อนั้นมีส่วนผสมของ AHA น้อยเกินไปจนไม่ออกฤทธิ์ ในทางตรงข้าม ถ้าชื่อของ AHA ปรากฏเป็นอันดับแรกของรายชื่อ ก็แสดงว่าอาจมี AHA สูงเกินไป จึงควรปลอดภัยไว้ก่อนด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อ AHA เป็นลำดับรองหรือกลางบัญชีรายชื่อ ถ้าผลิตภัณฑ์ใดมีส่วนผสมของทั้ง AHA และ BHA ก็ต้องแน่ใจว่าทั้ง 2 นี้ไม่ได้มีความเข้มข้นมาก ด้วยกันทั้งคู่ เพราะจะยิ่งเสริมฤทธิ์ทำให้ผิวระคายเคืองมาก เนื่องจากกรดผลไม้ทำให้ผิวลอก และระคายเคืองได้ง่าย จึงต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่มากเพราะจะยิ่งทำให้ ผิวระคายเคือง ควรเลือกซื้อกระปุกที่เล็กที่สุดมาลองใช้ดูก่อน ถ้าเป็นไปได้ลองเตรียม กระปุกสะอาดไปเองและขอแบ่งผลิตภัณฑ์มาลองใช้ดูก่อน ขั้นแรกอาจลองทาดู ที่ท้องแขนสัก 1 สัปดาห์ ถ้าผิวไม่แดงไม่ลอกจึงค่อยลองใช้กับใบหน้า
 
เมื่อเริ่มใช้เครื่องสำอางกลุ่มนี้ ต้องจำไว้ว่าผิวจะลอกและระคายเคืองง่ายอยู่แล้ว จึงต้องงดเว้นการใช้สบู่ที่ผสมเม็ดขัดถูใบหน้า งดการใช้ผ้าขนหนู ฟองน้ำ ใยบวบ หรือสิ่งใดๆ ก็ตามมาขัดถูใบหน้า
 
เครื่องสำอางกรดผลไม้มีหลายรูปแบบได้แก่ ครีม เจล และโลชั่น ถ้ามีผิวแห้ง แนะนำให้ใช้ในรูปของครีม แต่ถ้าผิวมันอาจลองใช้เจรหรือโลชั่น ในคนผิวปกติทั่วไป แนะนำให้ใช้ AHA เริ่มต้นที่ความเข้มข้นร้อยละ 7-8 ทาต่อเนื่องกัน 4-6 สัปดาห์ แล้วจึงอาจใช้ความเข้มข้นสูงกว่านี้
 

ข้อควรปฏิบัติในการใช้เครื่องสำอางกรดผลไม้ (AHA) 
1.ทำความสะอาดผิวหน้างให้หมดจดก่อนทาเครื่องสำอาง ล้างคลีนเซอร์ให้เกลี้ยงเกลา เพราะถ้ายังมีตกค้างจะต้านฤทธิ์ของกรดผลไม้
2.หลังล้างหน้ารอให้หน้าแห้งก่อน 15 นาที แล้วจึงทาเครื่องสำอางนี้ เพราะถ้าผิวเปียกชื้นแล้วทาเครื่องสำอางกรดผลไม้ ผิวจะระคายเคืองได้ง่าย
3.ค่อยๆ ป้ายเนื้อครีมทีละขนาดเท่าเม็ดถั่ว เกลี่ยเบาๆ ไม่ต้องนวด ไม่ต้องดึง ไม่ต้องดันผิวหนัง ครีมจะซึมและแห้งไปเอง
4.ทาเครื่องสำอางนี้เริ่มต้นวันละ 1 ครั้งก่อนนอน ถ้าผิวแห้งหรือลอกมาก อาจลดมาเป็นทาวันเว้นวัน ถ้ายังลอกอยู่อาจต้องใช้ชนิดที่มีความเข้มข้นต่ำกว่านี้
5.ถ้าทาเครื่องสำอางครบ 4-6 สัปดาห์แล้ว ผิวยังไม่และดูดีขึ้น และไม่มีปัญหาผิวแห้งและระคายเคือง อาจเพิ่มการทาครีมเป็นวันละ 2 ครั้ง หรือใช้ชนิดที่มีความเข้มข้นสูงกว่านี้
6.ต้องใช้ยากันแดดร่วมไปด้วย โดยเป็นยากันแดดที่มี SPF อย่างต่ำ 15
7.ปัจจุบันมีเครื่องสำอางกรดผลไม้ผลิตแยกเป็นส่วนๆ ของร่างกาย เช่นใช้ทารอบตา รอบคอ ลำคอ ต้นขา เท้า และเล็บโดยเฉพาะ ซึ่งไม่จำเป็นและสิ้นเปลือง เท่าที่จำเป็นคือใช้ชนิดที่มี AHA ความเข้มข้นสูงทาตัว และความเข้มข้นต่ำทาหน้า ไม่ใช้เครื่องสำอางกรดผลไม้ทาเปลือกตาหรือทาริมฝีปากโดยเด็ดขาด
8.เมื่อได้ผลิตภัณฑ์กรดผลไม้ที่ถูกใจแล้ว ให้ทาวันละ 1-2 ครั้ง ต่อเนื่องกันไป 6 เดือนถึง 1 ปี หรือจนกระทั่งไม่สามารถสังเกตเห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นไปได้อีก ก็อาจลดการทาครีมลงได้ครึ่งหนึ่ง
 
การลอกหน้าด้วยกรดผลไม้ หรือ AHA (alpha hydroxy acid) นั้นจะช่วยให้ เซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุดคือ ชั้นขี้ไคลซึ่งเป็นผิวหนังชั้นที่ตายแล้ว หลุดลอกออกไป ทำให้ผิวดูสดใสและเรียบเนียนขึ้นได้บ้าง เพื่อความปลอดภัยควรให้แพทย์ผิวหนัง เป็นผู้ลอกหน้าให้ โดยมากนิยมใช้ AHA ความเข้มข้นร้อยละ 20-70 ก่อนลอกหน้าต้องล้าง และเช็ดเครื่องสำอางออกให้หมดก่อน ต้องใช้ผ้ากอซปิดตาหรือหลับตาให้สนิท เพราะถ้าน้ำยาเข้าตา ตาจะอักเสบระคายเคืองอย่างรุนแรง หลังทาน้ำยาจะมีอาการคันเล็กน้อย ทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด หลังลอกหน้าด้วยวิธีนี้ ผิวอาจจะบวมแดงเล็กน้อย และลอกเป็นขุยในอีก 2-3 วันต่อมา ทั่วไปนิยมลอกหน้าด้วย AHA ต่อเนื่องกัน 6 ครั้ง โดยเว้นระยะครั้งละ 2-3 สัปดาห์ แต่จะใช้น้ำยาความเข้มข้นสูงหรือต่ำขนาดใด และลอกบ่อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วยนะครับ
 
เนื่องจากการลอกหน้าด้วย AHA ทำให้ผิวหนังบางลง จึงทำให้ผิวได้รับอันตรายจากรังสียูวี ในแสงแดดได้ง่ายขึ้น ซึ่งผลเสียนี้ทำให้ผิวหนังเหี่ยวแก่เร็วและเกิดมะเร็งผิวหนังได้ง่าย จึงไม่แนะนำให้ผู้ที่มีผิวขาวอยู่แล้วลอกหน้าด้วย AHA และผู้ที่ลอกหน้าด้วย AHA จะต้องหลบเลี่ยงการโดนแดดจัด ต้องทายากันแดดที่มีค่า SPF อย่างต่ำ 15 ร่วมด้วยเสมอนะครับ
 
(update 5 ตุลาคม 2001) 
[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 25 ฉบับที่ 7 กรกฎาคม 2544 ]

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ลาแอสต้า เซรั่ม มันมีอะไรดีนักหนานะ


ก่อนอื่นป้อขอเปรยก่อนนะคะว่า ผลิตภัณฑ์ทุกตัว ผลิตจากแลปที่ได้มาตราฐาน อย่าง ดีเนเจอร์สปาแลป
ที่เพิ่งออกหนังสือชี้ช่องทางรวยไป
แต่สินค้าของเราจะให้ทางแลป ทำเป็นพิเศษขึ้นมาอีก ซึ่งราคาก็จะสูงขึ้นมาอีกหลายพัน
แต่ป้อเน้น" ครอบจักรวาล " ได้เท่าไหนก็เท่านั้น ไม่ดันทุรังคะ

เซรั่มลาแอสต้า เดิมทีจะต้องเปนสี ชมพูอ่อน ของสาหร่ายแดงในทะเล แต่ป่อใส่เพิ่มโดสของตัวอื่นเพิ่มคะ

ทำความรู้จักสาหร่ายแดง นิสสสสนึงคะ
   สาหร่ายแดง มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า   แอสต้าแซนทิน เป็นตัวที่เริสที่สุด. ขอบอกๆๆๆๆ
   ซึมผ่านชั้นน้ำ และไขมัน บนผิวหนังจนถึงชั้นในสุด Dermis
   มีหน้าที่กรองรังสีไม่ให้มาตกกระทบและเกิดความเสียหายแก่เซลล์ 
       คุณจึงเพลิดเพลินกับการเจอแดดอุ่นๆตามธรรมชาติได้เต็มที่ 

ส่วนประกอบใน. ลาแอสต้า เซรั่ม
- แอสต้าแซนทิน ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอริ้วรอย ชะลอความหมองคล้ำ
- นาโนอัลฟ่าอาบูติน จากแบร์เบอรี่ ชนิดนาโนโซลูชั่นแบบเต็มๆโดส
   ไม่ต้องห่วงเรื่องความหมองคล้ำ ฝ้ากระ ลดแน่นอน
- นาโนไวท์ คือกลูต้า และวิตมินซี ที่ช่วยเสริมความกระจ่างใสและสีผิวที่สม่ำเสมอ
- เรตินัล บูสเตอร์ อนุพันธ์ ของกรดวิตมินเอ ที่เหนผลและปลอดภัยไม่แพ้แสง
   ช่วยลดสิว ผลัดผิว ลดรอยแดงดำจากสิว จากรอยเลเซอร์
- วิตมินอีตัวเสถียร ทำงานคู่กับ แอสต้าและเรตินัล ช่วยเสริมสร้างผิวใหม่ที่ขาวนวลเนียน เด้ง
-  ชะเอมเทศ 40% ช่วยยับยั้งเม็ดสีผิวได้ดี เสริมกันกับ อัลฟ่าอาบูตินและนาโนไวท์

สารกันเสีย ไม่นิยม พาราเบน ไม่ใส่ตัวนี้คะ เดวคนท้องใช้ไม่ได้

ตัวนี้ราคาอยู่ที่. 390บาท   ขนาด10ml.

จิ๋วแต่แจ๋ว ใช้ได้นานคะ เพียงไม่กี่หยด แล้วตบเบาๆ

                                            รูปนี้สิวขึ้น สิวประจำเดือน หยดแต้มบ่อยๆก็เปนหัว แล้วพอหลุดออกมา
                                            ก็แต้มซ้ำ แห้งเลยคะ


ช่วยให้ฝ้า กระ ลดได้จริงๆ

นาโนไวท์ใน เซรั่ม ปรับระดับเม็ดสีผิวได้จริง


ลดกระลึกได้จริงๆคะ ว้าววววว